เงินที่จะนำมาลงทุนในหุ้นแนะนำว่า ควรจะเป็นเงินเย็น ความหมายก็คือ เป็นเงินที่แบ่งออกมาเพื่อลงทุนโดยเฉพาะ ไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินส่วนนี้มาใช้จ่ายอย่างทันทีทันใด
เนื่องจากราคาของหุ้นจะมีความผันผวนเปลี่ยนไปในทิศทางขึ้น หรือ ลง ค่อนข้างไว หากท่านนำเงินที่มีกำหนดต้องใช้จ่ายแน่นอนมาใช้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น หากเป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นกำลังตกต่ำอยู่ เช่น เกิดน้ำท่วมใหญ่ ในประเทศ ท่านก็จะต้องขายหุ้นขาดทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้ง ๆที่ท่านเองก็รู้ว่าหากรอให้พ้นสภาวะน้ำท่วมไปได้ ราคาหุ้นก็จะกลับมาสูงขึ้น
จำนวนเงินเริ่มต้น ควรจะเป็นเท่าไรดี ?
ไม่ได้มีข้อจำกัดมากนักในจำนวนเงินเริ่มต้นของการลงทุน ท่านจะเริ่มที่ 10,000 บาท หรือ 10,000,000 บาท ก็แล้วแต่ท่าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอแนะนำว่า หากท่านเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ควรจะเริ่มต้นที่เงินจำนวนน้อยก่อน จากนั้นใน 1-2 เดือนถัดไป ค่อยเพิมเงินเข้าไป
มีเงินแล้ว ทำอย่างไรต่อ ?
เมื่อคุณเตรียมเงินลงทุนในหุ้นไว้แล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับถัดไป คือ เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ โบรกเกอร์
โบรกเกอร์ คือ บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้า ซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และเข้าเป็น “บริษัทสมาชิก” ของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์เข้าสู่ระบบซื้อขาย ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้โดยตรง
ควรเลือกโบรกเกอร์อย่างไร ?
ควรเลือกบริษัทที่น่าเชื่อ และที่สำคัญควรพิจารณาถึงรูปแบบการซื้อขายหุ้นของคุณ และค่าธรรมเนียมการซื้อขายด้วย
ในการซื้อ หรือ ขายหุ้น คุณสามารถดำเนินการได้ 2 วิธี
1. ซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่ของบริษัทโบรกเกอร์ โดยโทรศัพท์ติดต่อเข้าไป (หลังจากเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแล้ว ท่านจะมีเจ้าหน้าที่ประจำตัว เรียกว่า มาร์ คอยติดต่อประสานงาน)
2. ซื้อขายด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เน็ต
การซื้อขายหุ้นผ่านมาร์เก็ตติ้ง จะเหมาะสำหรับนักลงทุน ผู้ที่ไม่สะดวกในการทำการซื้อขายด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เน็ต ข้อดีของการซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่ คือ สะดวก รวดเร็ว ผิดพลาดน้อย แต่ข้อเสีย คือ ค่าธรรมเนียมจะสูงกว่า
การซื้อขายด้วยตนองผ่านอินเตอร์เน็ต จะมีค่าคอมมิสชั่นที่ต่ำกว่า ในส่วนนี้ขอเน้นว่า ให้ท่านเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการซื้อขาย ซึ่งปัจจัย หลายบริษัทไม่คิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ หากผู้ลงทุนเลือกรับข้อข้อมูลทางอีเมล์และแจ้งความประสงค์ให้ทราบตั้งแต่ตอนเปิดบัญชีซื้อขาย
คำว่า ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ คือ ค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้เป็นอย่างน้อย ไม่ว่าท่านซื้อขายหลักทรัพย์มูลค่ามากน้อยเพียงใด ก็ต้องเสียเท่านี้
ประเภทบัญชี ซื้อขายหุ้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
1. Cash Balance บัญชีประเภทนี้ ท่านจะต้องโอนเงินลงทุนไปที่บัญชีโบรกเกอร์ก่อน และซื้อขายหุ้น ได้เท่าที่เงินลงทุนจะมีเท่านั้น
2. Credit Balance หรือ Cash Account บัญชีประเภทนี้ ท่านจะมีวงเงินซื้อ หรือ ขาย หุ้น มากกว่าเงินที่ท่านโอนไปที่บัญชีโบรกเกอร์ กล่าวง่าย ๆ คือ ท่านสามารถยืมเงินโบรกเกอร์มาลงทุนได้ก่อน แล้วค่อยชำระคืนในเวลาที่โบรกเกอร์กำหนด
หากท่านเป็นนักลงทุนผู้เริ่มต้น ขอแนะนำให้เปิดบัญชีแบบที่ 1 จะดีกว่า คือ มีเงินเท่าไรก็ลงทุนเท่านั้น
หลังจากที่ท่านเปิดบัญชี ซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว ท่านก็สามารถเริ่มที่จะลงทุนได้ทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านควรต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อน
Credit >> http://www.setmai.com/