เคล็ดลับลงทุนหุ้น 5 ข้อ

"จุดได้เปรียบของผม อยู่ที่การใช้เครื่องมือและสัญญาณทางเทคนิคประกอบการตัดสินใจลงทุนเป็นหลัก"
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นมีหลายแนวทาง ทางหนึ่งก็คือการใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบเทคนิเคิล เช่น .."ธิติ ธาราสุข" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์ตมาสเตอร์ จำกัด ได้เผยเคล็ดลับการลงทุนว่า เขายึดหลักการลงทุน 5 ข้อ เป็นแนวทางก่อนก้าวเท้าเข้าลงทุนในตลาดหุ้น..



หนึ่ง..จะต้องรู้ถึงแนวโน้มของตลาด หรือภาพรวมก่อนว่า ก่อนลงทุนต้องมอง “แนวโน้มเป็นเพื่อนของคุณ” (Trend is Your Friends) ถ้าตลาดเป็นขาลงไม่จำเป็นต้องลงทุน แต่พอตลาดเป็นขาขึ้น ก็ค่อยกระโจนลงสู่ตลาดหุ้นได้

สอง..จังหวะเวลา (Timing) ที่เหมาะสมเข้าลงทุน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของตลาดทุกอย่างมี "วัฏจักร" มีทั้งขาขึ้นและขาลง

"เล่นหุ้นในเชิงเทคนิค คุณต้องลงทุนในช่วงขาขึ้นเท่านั้น อย่าไปเสี่ยงลงทุนในช่วงขาลง หรือสัญญาณจะปรับตัวเป็นขาลง"

สาม..ต้องดูดีมานด์และซัพพลายของตลาด

ธิติบอกว่า หุ้นแต่ละตัวมีอุปสงค์และอุปทานเหมือนกับ "ตาชั่งวัด" จะมีการปรับตัวโยกขึ้น โยกลง และปรับสู่สมดุลเสมอ การเข้าสู่ตลาดตอนที่ตาชั่งแกว่งตัว ปรับจากการไม่สมดุลสู่สมดุล จะเกิดการปรับทิศทางแล้วค่อยเข้าลงทุนช่วงนั้น

"ช่วงที่ซัพพลายมากๆ จะเป็นช่วงเทขาย ขณะที่ซัพพลายน้อย ดีมานด์มากขึ้นถึงจุดสมดุล เราค่อยเข้าสู่ตลาด คือตลาดบ้านเราจะแกว่งตลอดเวลาตามดีมานด์และซัพพลาย"

สี่.."ห้ามโลภ"

หากได้กำไรเมื่อหุ้นขึ้นไป 1-2 ช่อง ให้ตัดขายทำกำไรทันที (ถ้าเล่นเร็ว) และให้คิดเสมอว่า หุ้นที่ขายแล้วแม้จะปรับตัวขึ้นไปอีก ให้ถือว่าคุณได้ถ่ายทอดความเสี่ยงแก่คนที่รับซื้อต่อ

"นักลงทุนบ้านเรา เวลาขายหุ้นไปแล้วขึ้น จะไปรับซื้ออีกครั้ง บางทีกลับเป็นความเสี่ยงที่มากขึ้น"

และห้า..พิจารณาตัวเองก่อนเข้าตลาด โดยให้พิจารณาว่าตัวเอง "ได้เปรียบ" นักลงทุนคนอื่นหรือไม่

"ถ้าคุณไม่ได้เปรียบ แสดงว่าคุณเสียเปรียบ ห้ามลงทุนเด็ดขาด เมื่อประเมินตัวเองว่าได้เปรียบใครบ้าง อย่างนักลงทุนบ้านเรามี 2 แสนคน ก็ต้องมาพิจารณาว่าเราได้เปรียบกี่คนในสองแสนคน ถ้าไม่ได้เปรียบ คำตอบคืออย่าลงทุน"

แนวทางการลงทุนของธิติ เขาจะใช้หลักวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และตัดสินใจลงทุนเป็นรอบๆ โดยเขาจะลงทุนเพียง 2-3 รอบต่อปี เท่านั้น

"การลงทุนเชิงเทคนิคอล มันเป็นเหมือนเวทมนตร์ เพราะมักมีโอกาสจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ ผมจึงเปลี่ยนจากแนวการลงทุนปัจจัยพื้นฐาน มาเป็นการลงทุนเชิงเทคนิค ซึ่งลงทุนแล้วประสบผลสำเร็จจริง แม้หุ้นที่มีพื้นฐานดีแต่เรารอให้ราคาหุ้นปรับขึ้นไม่ไหว เพราะการปรับตัวขึ้นต้องใช้เวลานาน

และเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของหุ้นบลูชิพจะน้อยกว่าการเล่นแบบเทคนิค ซึ่งเมื่อหาจังหวะลงทุนที่เหมาะสมได้ ผลตอบแทนที่ได้จะสูงกว่ามาก โดยไม่ต้องลงทุนตลอดปี ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ และปีหนึ่งๆ ผมจะลงทุน 2-3 รอบเท่านั้น และหากตลาดหุ้นไม่ใช่ขาขึ้น ก็จะไม่ต้องลงทุนเด็ดขาด"

วิธีการเล่นทางเทคนิคของธิติ เขาจะสร้าง "โปรแกรม" ที่เรียกว่า "BOT" ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่หาข้อมูลและค้นหาหุ้นในตลาด โดยสร้างเงื่อนไขว่าต้องการหุ้นแบบไหน และหุ้นตัวไหนมีสัญญาณเป็นบวก จากนั้นจะใช้ความสามารถของคนมาคัดเลือกหรือสกรีนหุ้นให้เหลือ 2-3 หุ้น ที่มีสัญญาณชัดเจนและน่าสนใจลงทุนเท่านั้น

"จุดได้เปรียบของผม อยู่ที่การใช้เครื่องมือและสัญญาณทางเทคนิค มาประกอบการตัดสินใจลงทุนเป็นหลัก"

ธิติบอกว่า เขาเริ่มลงทุนจริงจังเมื่อราวปี 2546 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดอยู่ที่ 380 จุด และได้ปรับขึ้นเป็น 800 จุด มูลค่าการซื้อขายของตลาดสูงถึง 8 หมื่นล้านบาทต่อวัน

"ตอนเริ่มลงทุนใหม่ใช้เงิน 2 แสนบาท จากนั้นขยับขยายไปเรื่อยๆ ตอนนั้นผลตอบแทนที่ได้จะคูณสอง จากนั้นมูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 5 แสนบาทได้

จากนั้นผมเริ่มลดพอร์ต เพราะดัชนีได้ปรับตัวสูงขึ้นเกินไป และมีสัญญาณลบออกมา โดยปกติเมื่อใดที่ค่าพีอีจะสูงถึง 31 เท่า แสดงว่าตลาดร้อนแรงเกินไปแล้ว จากนั้นจะปรับตัวลดลง แม้ช่วงนั้นค่าพีอีจะไม่ถึง 31 เท่า แต่มีสัญญาณบางอย่างไม่ดีออกมา ผมจึงกระโดดออกจากตลาด และลดพอร์ตลงมาเรื่อยๆ

ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตหุ้นของเขาอยู่ที่ 3.8 แสนบาท หลังจากที่ได้ทยอยขายหุ้นนำกำไรออกไปบ้างแล้ว

ส่วนจำนวนหุ้นในพอร์ต เขาจะเล่นหุ้นไม่เกิน 5 บริษัท เพื่อให้สามารถดูภาพรวมทั้งหมดได้ โดยกระจายลงทุนในหุ้น 3 ส่วนหลัก คือ ลงทุนหุ้นกลุ่มนำเข้า กลุ่มส่งออก และหุ้นกลุ่มพลังงาน

"ผมจะไม่ลงทุนหุ้นใหญ่ เพราะเล่นเทคนิคจะไม่ลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก และไม่สนใจเงินปันผล แต่เราสนใจว่าเมื่อเราซื้อหุ้นแล้ว หุ้นต้องขึ้น เมื่อขายแล้วหุ้นต้องลง ซึ่งเป็นหลักเทคนิคอล"

ธิติบอกว่า ผลตอบแทนการลงทุนใน 2550 ไม่ค่อยสูงมากนัก จะอยู่ประมาณ 28-32%

"เพิ่งจะตีตื้นตอน 2-3 เดือนที่ผ่านมาที่เราทำเงินได้มาก และหุ้นมีสัญญาณชัดเจนปรับตัวขึ้น จริง ๆ เริ่มตอนที่ตลาด Crash ไปครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเราจับสัญญาณได้ เราจึงเริ่มเข้าตลาด และซื้อเมื่อขึ้นไปสักพักจึงเริ่มขาย เราไม่สนใจว่าหุ้นนั้นเป็นอะไร แต่สนใจว่าเมื่อซื้อต้องขึ้น ขายต้องลง"

ปัจจุบันแนวทางการบริหารเงินส่วนตัวของผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทเน็กซ์วิว จะนำเงินลงทุน 30% ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยซื้อบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ จะซื้อเก็บและให้เช่า เงินลงทุนอีก 30% นำไปลงทุนในตลาดหุ้น

ส่วนที่เหลือ 40% เป็นเงินฝาก และลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

Credit >> http://www.technicalday.com