การพิจารณาที่จะลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเหล่านี้ โดยหลักการก็ไม่ต่างจากการลงทุนให้บริษัทอื่นๆ คือเราต้องพิจารณาคุณภาพบริษัท และประสิทธิภาพในการทำกำไร เพื่อมองหาว่า ราคาที่ซื้อขายในกระดานนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทหรือไม่
โดยทั่วไปบริษัทที่ต้องพึ่งพาอาศัยสัมปทานของรัฐ หรือที่หนักกว่านั้นคือบริษัทที่ต้องทำมาค้าขายกับรัฐ ( เช่น ต้องประมูลโครงการของรัฐ หรือประมูลขายสินค้าให้รัฐ ) มักจะเป็นบริษัทที่เราไม่อาจคาดการณ์ผลประกอบการในระยะยาวได้ เนื่องจากธรรมชาติของหุ้นรับเหมาก็มีความผันผวนของผลประกอบการมากพอสมควรอยู่แล้ว ยิ่งเป็นค้าขายกับรัฐ ( รวมทั้งสัมปทาน / สัญญาที่ทำกับรัฐบางประเภท ) ก็ยิ่งมีความเสี่ยงกับการไหวเอนไปตาม”ขั้วการเมือง”ที่มีอำนาจในขณะนั้น และที่สำคัญหุ้นเหล่านี้มักจะมี”ผลประกอบการ”ที่แย่ หากโดนการเมือง”ขั้วตรงข้าม”รังแก
ดังนั้นการที่จะหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทในระยะยาวย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ การจะลงทุนในบริษัทเหล่านี้ ผมมองว่าเราสามารถลงทุนได้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงที่สัมปทานยังมีอยู่ ( และยังไม่มีใครขุดคุ้ยมาเล่นงานทางการเมืองกัน ) หรือในช่วงที่บริษัทกำลังได้โครงการขนาดใหญ่จากรัฐ
สำหรับหุ้นอีกประเภท ซึ่งก็คือหุ้นที่ไม่ได้แอบอิงอะไรกับรัฐ เพียงแต่มีผถห.หรือผบห. ที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง หุ้นประเภทนี้ โดยปกติเวลาที่ผมพิจารณาหุ้นมูลค่าที่แท้จริง ผมแทบจะไม่ได้ใส่ปัจจัยทางการเมืองมาในการวิเคราะห์เสียด้วยซ้ำ แต่หุ้นเหล่านี้มักจะถูกตลาด discount ด้วยปัจจัยทางการเมืองอยู่เรื่อยๆ
แล้วผมมุมมองในการลงทุนอย่างไรกับหุ้นประเภทนี้ โดยปกติผมก็ใช้วิธีการวิเคราะห์บริษัทด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพ และงบการเงินเหมือนบริษัทอื่นๆ หลังจากนั้นผมก็มาดูราคาในกระดานว่า undervalue หรือไม่ ถ้าหุ้นยังมีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผมมั่นใจได้ว่า ราคาที่ถูก discount ไปนั้น เป็นเหตุผลจากการเมืองล้วนๆ นั่นก็คือโอกาสที่ดีมากสำหรับการลงทุน
คำถามต่อมาก็คือ แล้วผมกลัวการเมืองจะกดดันราคาหุ้นจนหุ้น”ถูกเรื้อรัง” หรือไม่ คำตอบคือไม่กลัว เพราะการเมืองไทยหลังยุคประชาธิปไตยเต็มใบ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีการเปลี่ยนขั้วไม่เกินทุกๆ 2 ปี ( ยกเว้นบางสมัยที่รัฐบาลมีความเข้มแข็งมากอย่างรัฐบาลของคุณทักษิณ ) ดังนั้นการรอให้การเมืองมาปลดล็อคราคาหุ้น โดยเฉลี่ยก็รอไม่เกินนี้ และยิ่งถ้าหุ้นถูกการเมือง discount ไปมากๆ ปันผลของบริษัทก็จะสูงไปเองโดยอัตโนมัติ ทำให้ผมรับปันผลปีละ 8 -9% ได้ในระหว่างรอโดยไม่เดือดร้อน ( แต่อย่างไรก็ดี ผมอาจจะมี timing บ้างกับหุ้นการเมืองเหล่านี้ โดยผมอาจจะพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เมื่อผมเห็นว่าจะมีโอกาสของการเปลี่ยนขั้วการเมืองในอนาคต อันใกล้ )
ทังนี้ทั้งนั้นในฐานะ low PE investor ผมมีความเห็นว่า การปลดล็อคด้วยการเมืองนั้น เป็นการปลดล็อคที่มีประสิทธิภาพมาก พอๆกับการปลดล็อคด้วยปันผล เพราะการปลดล็อคหุ้นถูกเรื้อรังด้วยวิธีอื่นๆ เราจำเป็นที่จะต้องทำให้ตลาดมีมุมมองใหม่กับธุรกิจของเรา ในขณะที่การปลดล็อคด้วยการเมืองนั้น ตลาดมักจะมองเห็นว่า”ธุรกิจ” ของเรา”ดี” อยู่แล้ว เพียงแต่ทำให้ตลาดหมดความ “กลัว” เท่านั้นเอง
Credit >> http://reitertvi.wordpress.com