หุ้นรับเหมา

หุ้นรับเหมาในนิยามของผม หมายถึง หุ้นของบริษัท ที่มีรายได้จากการประมูลงานมาเป็นครั้งๆ เช่น งานประมูลก่อสร้าง งานประมูลวางระบบวิศวกรรม / ระบบ IT เป็นต้น

โดยส่วนตัวผมไม่ใคร่จะนิยมลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้มากนักสักเท่าไร เพราะผลประกอบการณ์ของหุ้นในกลุ่มนี้มีความผันผวนค่อนข้างมากตามแต่ปริมาณงานที่ประมูลได้ และถ้าว่ากันตามปัจจัยเชิงคุณภาพ ก็ไม่เชื่อว่าบริษัทในกลุ่มนี้จะมี DCA อะไรให้ผมมั่นใจในการลงทุนระยะยาวได้

และปัจจัยอีกข้อที่ทำให้ผมไม่ใคร่จะสบายใจกับการลงทุนในหุ้นหลุ่มนี้ ก็คือความ”เทา”ของบริษัท ซึ่งโดยธรรมชาติของการทำธุรกิจของหุ้นในกลุ่มนี้นั้นเอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ของผบห.อยู่แล้ว ( สังเกตได้ง่ายๆ บริษัทรับเหมาบางบริษัทรายได้เป็นหมื่นล้านทุกปีแต่แทบไม่เคยมีกำไร )

แต่อย่างไรก็ดี บางครั้งผมก็อาจจะสนใจหุ้นในกลุ่มนี้ ถ้าหากราคามันถูกมากๆ และว่ากันตามจริง ผมก็เคยลงทุนในช่วงสั้นๆ กับบางบริษัทในกลุ่มนี้ โดยที่ได้ผลตอบแทนมามากพอสมควร

หุ้นกลุ่มนี้มักจะถูกมากๆ หากบริษัทได้งานขนาดใหญ่เข้ามาในมือ หรือได้งานเยอะๆ จนมี backlog ที่จะรับรู้ในปีที่เรากำลังสนใจหุ้นเป็นจำนวนมาก สิ่งที่จะเกิดก็คือ หลังจากบริษัทรับรู้รายได้จากงานเหล่านี้จนครบ บางครั้ง PE จะลงไปต่ำมาก ที่ 2, 3 หรือ 4 ซึ่งพอหุ้นมี PE เหลือเท่านี้แล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือปันผลของหุ้นมักจะมี % ที่มากถึงหลัก double digit ซี่งผมมองว่าจะเป็นตัว catalyst ราคาในกระดานได้อย่างดี

ผมเองเคยมีประสบการณ์ลงทุนช่วงสั้นๆ กับ STPI ในช่วงกลางปี 52 ผมมองเห็นว่าบริษัทกำลังจะรับรู้รายได้จากงานที่ woodside และ EPS ในปี 52 น่าจะอยู่ที่แถวๆ 5 บาท ซึ่ง ณ ราคาที่ผมกำลังสนใจ บริษัทมีพีอีไม่ถึงสอง

ในที่สุดผลประกอบการณ์ก็มาตามที่ผมคาด พร้อมกับที่บริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาลออกมา 1 บาท ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ผมได้กำไรจาก STPI ประมาณ 80% โดยที่ถืออยู่แค่ประมาณสามเดือน

คำถามต่อมาก็คือ แล้วถ้าเราเจอหุ้นลักษณะนี้ เราควรจะซื้อหุ้นตอนไหน ซื้อตอนที่มีข่าวกำลังจะประมูลงานใหญ่ๆ? ซื้อตอนที่ประมูลงานได้แล้ว? หรือซื้อตอนที่ผลประกอบการณ์ดีมากๆ ออกมาแล้ว? ความเห็นของผมก็คือทางเลือกที่สอง เพราะหากเราเข้าซื้อระหว่างกำลังรองานประมูล ผมมองว่าเรากำลังจะ bet มากเกินไป และหากบริษัทประมูลเมกะโปรเจคต์ที่ว่าไม่ได้ เราก็มีโอกาสที่จะขาดทุนได้มาก

หลายคนอาจจะมองว่าซื้อหลังบริษัทชนะประมูลแล้ว เราอาจจะได้ต้นทุนที่แพง ซึ่งผมเองก็มองว่าจริง หากเราไปไล่ซื้อหุ้นตอนที่หุ้นกำลัง”ฮอต” หรือเพิ่งมี”ข่าวดี”เรื่องการชนะประมูลออกมาใหม่ๆ แต่ผมเชื่อว่าระยะเวลาหลังจากบริษัทชนะประมูล จนกระทั่งผลประกอบการณ์ที่ดีออกมานั้น ทอดยาวพอสมควร และในช่วงเวลาดังกล่าว ก็มักจะมีช่วงเวลาที่ตลาดไม่ดี และลดราคาหุ้นที่เราสนใจจนกลับมาอยู่ในจุดที่มี MOS เพียงพอ และผมพึงพอใจที่จะเข้าไปถือ

ส่วนการซื้อหลังผลประกอบการณ์ที่ดีออกมาแล้วนั้น ผมมองว่าที่จุดนั้น ราคามักสะท้อนมูลค่าของเมกะโปรเจคต์ไปเรียบร้อยแล้ว และหากเราเข้าไปซื้อ เราก็มักจะเป็น ” VI ไม้สุดท้าย “

อย่างไรก็ดี หากผมจะลงทุน ( แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ) กับบริษัทเหล่านี้ ผมมักจะเตือนตัวเองไว้สองข้อเสมอ

1.เราอาจจะประเมิน revenue จากมูลค่าของโปรเจคต์ หรือแบคลอกได้ แต่มักจะประเมินมาร์จินและผลกำไรได้อย่างไม่ใคร่จะแม่นยำนัก เพราะปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งสภาพการสู้ราคา ณ วันที่ประมูล ต้นทุนการก่อสร้าง ความล่าช้าที่อาจจะเกิดในการก่อสร้าง และเหนืออื่นใดคือธรรมชาติความ”เทา” ของหุ้นในกลุ่มนี้

2.บางครั้งตลาดก็มีประสิทธิภาพ และไม่ได้ให้ราคากับ one time gain อันเกิดจากผลประกอบการณ์ที่ดีมากๆ เพียงปีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า EPS ที่สูงมากๆนั้น ไม่ได้แปรสภาพออกมาเป็นปันผล ( ผมยกตัวอย่างในเคสของ STPI ที่ผมเคยลงทุนมา งบไตรมาสสองของปี 52 ออกมาดีตามคาดที่ EPS 4 บาท แต่หลังจากงบออก ราคาก็ยังหยุดนิ่งอยู่ที่แถวๆ 8 บาท จนกระทั่ง บริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาล ออกมา 1 บาท ราคาถึงจะเริ่มวิ่งรับงบที่ดี ไปที่ 13 -14 บาท )

Credit >> http://reitertvi.wordpress.com